ผมจะเริ่มอธิบายให้คุณเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องเปอร์เซ็นต์ทองกันก่อน เพราะดูเหมือนว่าจะมีหลายท่านที่ไม่เข้าใจ ถึงขนาดที่บางท่านคิดว่าทอง K เป็นของปลอม ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลยนะครับ
K ย่อมาจากคำว่า Karat ซึ่งเป็นหน่วยสากลในการวัดเปอร์เซ็นต์ทอง ต่างจาก Carat ซึ่งเป็นหน่วยสำหรับใช้วัดน้ำหนักกะรัตของเพชรพลอย โดยทองคำแต่ละ K จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามเปอร์เซ็นต์ทองที่ใช้ โดยการนำมาหาร 24 เช่น:
ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่เหลือนอกเหนือจากธาตุทองคำ นั่นก็คือโลหะ Alloy ต่างๆที่จะทำให้เครื่องประดับทองคำนั้นสามารถคงตัวอยู่ได้อย่างแข็งแรง เช่น เงิน (Silver) นิกเกิล (Nickel) ทองแดง (Bronze) และโรเดียม (Rhodium)
นั่นเป็นเพราะทอง 96.5% มีเนื้อทองมากเกินไป จึงทำให้เครื่องประดับมีเนื้อนิ่ม และบิดเบี้ยวได้ง่าย จึงไม่สามารถใช้ในงานตัวเรือนฝังเพชรพลอยได้เลย เพราะจะทำให้ยึดเกาะอัญมณีไว้ไม่อยู่ ทำให้เพชรพลอยมีโอกาสหลุดหายได้ง่าย
หากคุณกำลังใส่สร้อยทองที่ซื้อจากร้านทอง ให้ลองสังเกตง่ายๆตรงส่วนตะขอที่ทำจากทอง 96.5% จริงๆ เมื่อคุณใส่ไปนานๆสิ่งที่มักจะพบเจอ คือตะขอบิ่นจากการที่คุณถอดเข้าถอดออกทุกวัน
สรุปว่าทอง 18K หรือทอง 75% คือทองคำคุณภาพสูงและเหมาะสมที่สุด สำหรับงานแหวนทองฝังเพชร หรือเครื่องประดับเพชรอื่นๆ เพราะมีมูลค่าในตัวเองสูง และที่สำคัญมีความแข็งแรง ทนทานมากกว่าทอง 96.5% เหมาะกับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
เนื่องจากทองคำ 18K เป็นทองแท้ จึงมีมูลค่าในตัวเองสูงอยู่พอสมควร เมื่อคุณนำไปขายคืนก็จะคิดมูลค่าอยู่ที่ 75% ของราคาทองในวันนั้น (Mark-to-Market) ซึ่งหากมาคำนวนเทียบกับทอง 96.5% จริงๆถือว่าต่างกันเล็กน้อย แตกต่างกับการซื้อมือถือยี่ห้อดัง หรือรถหรูมือหนึ่ง เพราะคุณจะมีโอกาสขาดทุนเยอะกว่าจากการเสื่อมราคา (Depreciation)
เนื่องจากทอง 14K และ 9K มีส่วนผสมของทองคำเพียง 58.3% และ 37.5% ตามลำดับ จึงมีราคาถูกกว่ามาก และนิยมใช้กันในงานแหวนเพชรราคาถูก เพื่อลดต้นทุนของผู้ผลิต
แต่เมื่อสวมใส่ทองเหล่านี้ไปได้ซักระยะหนึ่ง คุณจะพบเจอ 2 ปัญหาหลักๆ คือ อาการทองซีด และ อาการทองกรอบ เพราะโลหะอื่นๆที่ผสมอยู่จำนวนมาก จะทำปฏิกิริยากับสภาพแวดล้อมไปเรื่อยๆ จนทำให้เครื่องประดับเพชรของคุณมีรอยแตกรอยร้าว หรือรอยหัก ซึ่งยากที่จะซ่อมแซมให้กลับมามีสภาพเหมือนเดิม